เทคนิคการออม

โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี! เช็กสิทธิลดหย่อน และรู้จักกองทุนลดหย่อนภาษี

โค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปี! เช็กสิทธิลดหย่อน และรู้จักกองทุนลดหย่อนภาษี

ต่อยอดเงินออม
13/11/2025
Share

Highlight

      เมื่อใกล้ถึงช่วงสิ้นปี หลายคนคงกำลังมองหาวิธีลดภาระค่าใช้จ่ายและประหยัดเงินในกระเป๋าในการลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและได้ประโยชน์สองต่อก็คือ การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีที่นอกจากจะช่วยประหยัดภาษีได้แล้ว ยังเป็นการสร้างเงินออมและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจแบบง่าย ๆ ว่ามีสิทธิลดหย่อนภาษีอะไรบ้างและควรเตรียมตัวลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีอย่างไร และแต่ละกองทุนเหมาะกับใครบ้าง
เช็กลิสต์ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี

  

OG-Image-(9).jpg


เช็กลิสต์ก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี

       ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมเพื่อลดหย่อนภาษี คุณควรวางแผนและเช็กข้อมูลรายได้ของตัวเองให้ชัดเจนก่อน มาดูกันว่ามีอะไรที่ต้องเช็กบ้าง

1. ตรวจสอบรายได้และฐานภาษี

       ขั้นตอนแรก คือการรู้ว่ารายได้รวมของคุณในปีนี้เป็นเท่าไร และอยู่ในฐานภาษีระดับไหน เพราะฐานภาษีที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อจำนวนเงินภาษีที่คุณจะได้รับคืนเมื่อนำเงินลงทุนไปหักลดหย่อน ยิ่งฐานภาษีสูง ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก


2. สำรวจสิทธิลดหย่อนที่มีอยู่

       หลังจากรู้ฐานภาษีของตัวเองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสำรวจว่าคุณมีสิทธิลดหย่อนอะไรอยู่แล้วบ้าง เพื่อให้เห็นภาพรวมว่ายังมีวงเงินเหลืออีกเท่าไรที่ควรนำมาซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยสิทธิลดหย่อนภาษีปี 2568 มีดังนี้

ค่าลดหย่อนส่วนตัว และครอบครัว
  • ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท
  • คู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ 60,000 บาท
  • ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท/ครรภ์
  • บุตรโดยชอบตามกฎหมาย คนละไม่เกิน 30,000 บาท คนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 คนละ 60,000 บาท
  • บุตรบุญธรรม คนละไม่เกิน 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
  • บิดาและมารดาตนเอง คนละ 30,000 บาท
  • บิดาและมารดาคู่สมรส คนละ 30,000 บาท
  • ค่าเลี้ยงดูผู้พิการ/ทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท
*บิดามารดาต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้น
**บุตรต้องอายุไม่ถึง 20 ปี และต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้น หรือหาอายุเกิน 25 ปี ต้องกำลังศึกษาหลักสูตรเนติบัณฑิต ระดับอนุปริญญา หรือปริญญาตรีขึ้นไป หรือเป็นผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
****บุตรบุญธรรมต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้น โดยให้ใช้สิทธิบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายก่อน หากครบ 3 คนแล้วจะลดหย่อนเพิ่มในส่วนของบุตรบุญธรรมเพิ่มไม่ได้

ประกันและการลงทุน

  • ประกันสังคม ไม่เกิน 9,000 บาท
  • ประกันชีวิต/ประกันสะสมทรัพย์ ไม่เกิน 100,000 บาท
  • ประกันสุขภาพตนเอง ไม่เกิน 25,000 บาท
  • ประกันชีวิตคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ ไม่เกิน 10,000 บาท
  • ประกันสุขภาพพ่อแม่ตนเองและคู่สมรส ไม่เกิน 15,000 บาท
*ประกันชีวิตและประกันสุขภาพตนเอง รวมแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
**บิดามารดาต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทในปีภาษีนั้น


การออมและการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ รวมทุกอย่างแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

  • ประกันชีวิตแบบบำนาญ 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน 15% ของเงินได้ ไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ไม่เกิน 30,000 บาท


การลงทุนอื่น ๆ

  • ธุรกิจ Social Enterprise ไม่เกิน 100,000 บาท
  • กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 300,000 บาท
  • กองทุน Thai ESGX ลงทุนใหม่ 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 300,000 บาท
  • กองทุน Thai ESGX สับเปลี่ยนจาก LTF 30% ของเงินได้ และไม่เกิน 300,000 บาท

*กองทุน Thai ESG ลงทุนได้ตั้งแต่ปี 2567-2569
**กองทุน Thai ESGX ลงทุนได้ตั้งแต่พฤษภาคม-มิถุนายน 2568

เงินบริจาค

  • e-Donation เพื่อการศึกษา กีฬา และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่า และไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ
  • บริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามจริง และไม่เกิน 10% ของเงินได้ ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ
  • พรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท


มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

  • Easy e-Receipt สินค้าและบริการทั่วไป ไม่เกิน 30,000 บาท และ สินค้า OTOP และร้านวิสาหกิจชุมชนหรือเพื่อสังคม ไม่เกิน 20,000 บาท เฉพาะการใช้จ่ายช่วง 16 มกราคม-28 กุมภาพันธ์ 2568
  • ดอกเบี้ยบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท
  • สร้างบ้านใหม่ ไม่เกิน 10,000 บาท/ค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท และรวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท
  • เที่ยวดีมีคืน จังหวัดเมืองรอง ลดหย่อนได้ 1.5 เท่า สูงสุด 30,000 บาท และจังหวัดเมืองหลัก ลดหย่อนได้ 1 เท่า สูงสุด 20,000 บาท เฉพาะวันที่ 29 ตุลาคม-15 ธันวาคม 2568


3. วางแผนงบประมาณสำหรับการลงทุน

       ขั้นตอนสุดท้ายคือการวางแผนงบประมาณว่าจะสามารถลงทุนได้เท่าไร โดยต้องไม่กระทบกับสภาพคล่องและค่าใช้จ่ายประจำวันของคุณ และต้องไม่ลืมว่าการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีมีข้อผูกมัดในเรื่องระยะเวลาการถือครอง ดังนั้นควรลงทุนเฉพาะเงินเย็นที่แน่ใจว่าจะไม่ต้องใช้จนครบเงื่อนไขของกองทุน


ทำความรู้จักกองทุนลดหย่อนภาษี ปัจจุบันมีอะไรบ้าง

       ปัจจุบันมีกองทุนลดหย่อนภาษีอยู่ 2 ประเภท คือ กองทุน RMF และกองทุน Thai ESG ซึ่งแต่ละกองทุนมีเงื่อนไขและข้อดีแตกต่างกันที่ผู้ลงทุนกองทุนรวมมือใหม่ต้องรู้ ดังนี้

1. กองทุน RMF (Retirement Mutual Fund)
       กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF เป็นกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อการออมระยะยาวสำหรับใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณโดยเฉพาะ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเตรียมความพร้อมทางการเงินสำหรับอนาคต ผู้ที่ลงทุนในกองทุนนี้สามารถนำยอดเงินลงทุนไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี เมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ด้วย

เงื่อนไขที่สำคัญของ RMF คือ

  • ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก
  • ต้องลงทุนเพิ่มอย่างน้อยปีเว้นปี แต่แนะนำว่าควรลงทุนเพิ่มทุกปี เพื่อสะสมความมั่งคั่งและป้องกันการลืมซื้อซึ่งจะทำให้ผิดเงื่อนไข
  • ผู้ลงทุนต้องถือครองกองทุนจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์จึงจะขายคืนได้


2. กองทุน Thai ESG
       กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ของบริษัทไทยที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social และ Governance) ซึ่งกองทุนนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และเหมาะสมกับผู้ลงทุนกองทุนรวมมือใหม่ที่สนใจการลงทุนในประเทศเป็นหลัก และมีเป้าหมายการลงทุนเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี 

เงื่อนไขที่สำคัญของ Thai ESG คือ

  • ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี
  • ต้องถือครอง 5 ปี นับแบบวันชนวัน
  • ไม่ต้องลงทุนเพิ่มต่อเนื่องทุกปี
  • ระยะเวลาการลดหย่อนภาษีเริ่มวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569


       นอกจากนี้ การลงทุนใน Thai ESG เป็นวงเงินลดหย่อนภาษีที่รัฐบาลให้เพิ่มขึ้นมา โดยไม่นำไปนับรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ต้องเลือกระหว่างกองทุนทั้งสอง แต่สามารถลงทุนทั้ง RMF และ Thai ESG พร้อมกัน แล้วนำไปลดหย่อนภาษีได้รวมสูงสุด 800,000 บาทเลยทีเดียว

เลือกกองทุนลดหย่อนภาษีอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง

       การซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรมองเพียงแค่ “ลดภาษีได้เท่าไร” แต่ควรมองให้ลึกถึงความเหมาะสมกับเป้าหมายชีวิตของตัวเองด้วย เพราะกองทุนแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินและแผนชีวิตในระยะยาว
ให้เริ่มจากการพิจารณาตามช่วงอายุและภาระทางการเงิน หากคุณอยู่ในวัยเริ่มต้นทำงานที่ยังมีเวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะเกษียณ กองทุน RMF จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยให้เริ่มออมเพื่อเกษียณได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ พร้อมได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไปในตัว และการลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปีจะทำให้เงินงอกเงยจากผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว

       แต่หากคุณอยู่ในวัยกลางคน หรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าเล่าเรียนบุตร การลงทุนในกองทุน Thai ESG อาจตอบโจทย์กว่า เนื่องจากมีความยืดหยุ่น ไม่จำเป็นต้องลงทุนทุกปีเหมือน RMF และยังส่งเสริมการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างการลดหย่อนภาษีและการลงทุนที่สร้างผลดีต่อสังคม

       และสิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุดในปีนี้ แต่คือการวางแผนให้มีเงินใช้ในวัยเกษียณอย่างมั่นคง และสามารถลงทุนเพิ่มขึ้นได้ทุกปีอย่างต่อเนื่อง หากคุณสามารถวางแผนการเงินอย่างมีระบบตั้งแต่วันนี้ จะทำให้ทุกการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีกลายเป็นก้าวสำคัญของการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตในระยะยาว


ขั้นตอนการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี

       เมื่อตัดสินใจเลือกกองทุนได้แล้ว ขั้นตอนการซื้อก็ไม่ยากเลย โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่มีตัวช่วยเป็นแอปซื้อกองทุนให้เลือกใช้ ทำให้คุณสามารถลงทุนได้สะดวกและรวดเร็ว โดยมีขั้นตอนไม่ยาก ดังนี้
1. เปิดบัญชีกองทุนรวม
       ขั้นตอนแรกคือการเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ผ่านแอปซื้อกองทุนได้เลย สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการจัดการการเงินแบบครบวงจร แอปพลิเคชัน Kept by krungsri มีกระปุกการลงทุน Kept Invest ให้เลือกใช้บริการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเปิดบัญชีและลงทุนในกองทุนรวมได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชันเดียว พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ ข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจ และแผนการลงทุนที่ทำให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ

2. ศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด
       ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรอ่านหนังสือชี้ชวนและศึกษานโยบายการลงทุนของกองทุนให้ละเอียด โดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนกองทุนรวมมือใหม่ ควรดูว่ากองทุนลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด มีความเสี่ยงระดับไหน ผลตอบแทนในอดีตเป็นอย่างไร และมีค่าธรรมเนียมการจัดการเท่าไร นอกจากนี้ยังต้องตรวจสอบเงื่อนไขการถือครองและการขายคืนหน่วยลงทุนให้ชัดเจนด้วย

3. ทำการซื้อ และแจ้งขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษี
       เมื่อคุณศึกษาข้อมูลและวางแผนการลงทุนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ตามจำนวนเงินที่วางแผนไว้ และต้องแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีผ่านบลจ. ที่คุณซื้อกองทุน โดยไม่จำเป็นต้องเก็บเอกสารหรือใบรับรองการลงทุนไว้แนบยื่นภาษีด้วยตนเองเหมือนในอดีต และหากไม่แจ้งความประสงค์จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้

บทสรุป
       การวางแผนลดหย่อนภาษีผ่านการลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้มีรายได้ทุกคน เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้แล้ว ยังเป็นการสร้างพอร์ตเงินออมและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระยะยาวอีกด้วย สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักตัวเอง ทั้งในเรื่องของฐานภาษี เป้าหมายชีวิต ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และงบประมาณที่มีอยู่ เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากกองทุนรวมลดหย่อนภาษีนี้ และวางแผนปีต่อ ๆ ไปได้ง่ายขึ้น

คำเตือน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
 

ข้อมูลอ้างอิง-