เมื่อความรักและการเงินต้องไปด้วยกัน

        หากย้อนมองอดีต ก่อนที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ คู่รักร่วมเพศในประเทศไทยต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน เนื่องจากไม่มีสถานะทางกฎหมายรองรับความสัมพันธ์ สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเงินและความเสี่ยงในหลายด้าน เช่น ไม่มีสิทธิในสินสมรส ขาดสิทธิในการตัดสินใจทางการแพทย์ ขาดสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสวัสดิการ เช่น ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีร่วมกัน หรือไม่ได้รับสวัสดิการจากที่ทำงานของอีกฝ่าย
        แต่เมื่อมีกฎหมายมารองรับความสัมพันธ์ของพวกเขา คู่รักเหล่านี้จึงสามารถวางแผนอนาคตร่วมกันได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพราะการสมรสไม่ได้เป็นเพียงพิธีการทางสังคม แต่ยังเป็นนิติกรรมสำคัญที่เชื่อมโยงสถานะทางการเงินของทั้ง 2 ฝ่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับคู่รัก LGBTQ ในประเทศไทย ทำให้การจัดสรรทรัพย์สินของพวกเขาได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายมากขึ้น รวมทั้งมีอำนาจในการตัดสินใจแทนกันในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย

       
       คู่รัก LGBTQ จะได้สิทธิอะไรบ้าง

        คู่รัก LGBTQ จะได้รับสิทธิทางกฎหมายและสิทธิการเงินหลังแต่งงานเหมือนกับคู่สมรสทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น

1. สิทธิในการจัดการสินสมรส ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างการสมรสถือเป็นสินสมรสที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีสิทธิร่วมกัน
2. สิทธิในการรับมรดก คู่สมรสตามกฎหมายมีสิทธิรับมรดกร่วมกับทายาทโดยธรรม
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี การลดหย่อนภาษีสำหรับคู่สมรสและการยื่นภาษีร่วมกัน จะช่วยลดภาระทางการเงินของคู่สมรสได้มากขึ้น
4. สิทธิประโยชน์จากประกันสังคม คู่สมรสมีสิทธิในเงินบำเหน็จ บำนาญ และสวัสดิการต่าง ๆ ของกันและกัน
5. สิทธิในการตัดสินใจทางการแพทย์ คู่สมรสสามารถเป็นผู้ตัดสินใจแทน ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
6. สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม คู่สมรสสามารถยินยอมร่วมกันเพื่อรับบุตรบุญธรรมมาอุปการะได้ภายใต้หลักกฎหมายรับบุตรบุญธรรม

       
        วางแผนการเงินร่วมกันอย่างชาญฉลาดในยุคสมรสเท่าเทียม

        แม้ว่าการได้สิทธิตามกฎหมายจะทำให้คู่สมรส LGBTQ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวและราบรื่น จำเป็นต้องคิดถึงการบริหารอนาคตและวางแผนการเงินร่วมกันอย่างรอบครอบ โดยคู่สมรสไม่ว่าจะเป็นเพศใด ควรคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1.  การเปิดใจคุยเรื่องการเงินอย่างตรงไปตรงมา การสื่อสารเรื่องเงินอย่างเปิดเผยเป็นก้าวแรกที่สำคัญ คู่รักควรแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ หนี้สิน ทรัพย์สิน และเป้าหมายทางการเงิน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออมเพื่อซื้อบ้าน การวางแผนเกษียณ หรือการลงทุนระยะยาว เพราะทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างการสมรสจะถือเป็นสินสมรสที่ทั้งคู่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้นอย่างเท่าเทียมกันและรับรู้ถึงสิทธิการเงินหลังแต่งงาน
2.  ตัดสินใจเรื่องบัญชีการเงินร่วมกัน คู่รักในยุคสมรสเท่าเทียมมีตัวเลือกหลากหลายในการจัดการบัญชีการเงิน เช่น “การใช้บัญชีร่วม” ที่เหมาะสำหรับคู่ที่ต้องการบริหารการเงินร่วมกันและต้องการรับรู้ความเป็นไปทางการเงินของครอบครัว “การใช้บัญชีแยก” ที่เหมาะสำหรับคู่รักที่แต่ละฝ่ายยังต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน หรืออาจเป็นการผสมผสาน โดยมีทั้งบัญชีร่วมสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้านหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ร่วมกัน และแยกบัญชีส่วนตัวสำหรับการใช้จ่ายตามความพอใจของตนเอง
3. ทำสัญญาคู่ชีวิตหรือข้อตกลงก่อนสมรส เพื่อความชัดเจนในการจัดการทรัพย์สินและสิทธิการเงินหลังแต่งงาน คู่รักอาจเลือกทำข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินและหนี้สินก่อนเข้าสู่การสมรส โดยเฉพาะในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินจำนวนมากหรือมีธุรกิจส่วนตัว การทำข้อตกลงนี้ไม่ได้แสดงถึงความไม่ไว้ใจกัน แต่เป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. วางแผนประกันชีวิตและการคุ้มครอง คู่รักยุคสมรสเท่าเทียมควรวางแผนเรื่องประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และการคุ้มครองรายได้ร่วมกัน เพื่อให้มั่นใจว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะได้รับการดูแลในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน และการระบุคู่สมรสเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นวิธีหนึ่งในการส่งต่อความมั่นคงทางการเงินให้กับคนที่คุณรัก

       
        เคล็ดลับการบริหารการเงินสำหรับคู่รักในยุคสมรสเท่าเทียม

        เมื่อความรักได้รับการรับรองตามกฎหมาย ถึงเวลาที่คู่รัก LGBTQ ต้องเปลี่ยนจากการจัดการเงินแบบต่างคนต่างทำมาเป็นวางกลยุทธ์ร่วมกัน เพราะการเงินที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ นี่คือกลยุทธ์ที่จะทำให้ความมั่งคั่งของคุณเติบโตไปพร้อมกับความรัก

1.  แบ่งปันความรับผิดชอบทางการเงิน กำหนดบทบาทและหน้าที่ในการจัดการการเงินของครอบครัวให้ชัดเจน เช่น ใครจะรับผิดชอบจ่ายบิลประจำเดือน ใครจะดูแลเรื่องการลงทุน ใครจะเป็นคนทำบัญชีครัวเรือน เป็นต้น
2. ตั้งเป้าหมายทางการเงินร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน วางแผนเกษียณ หรือการท่องเที่ยว เพราะการตั้งเป้าหมายร่วมกันจะช่วยให้ทั้งคู่มีแรงจูงใจในการบริหารการเงินอย่างมีวินัย
3. สร้างกองทุนฉุกเฉิน ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และจะทำให้ชีวิตคู่มั่นคงมากยิ่งขึ้น
4. เรียนรู้เรื่องการลงทุนด้วยกัน การศึกษาและลงทุนร่วมกันไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่ง แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันผ่านการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน และทำให้เข้าใจมุมมองทางการเงินของอีกฝ่ายได้ดียิ่งขึ้น

       
        หลังจากวางแผนเป้าหมายการเงินร่วมกันได้แล้ว ลำดับต่อมาคือการเริ่มต้นออมเงินด้วยกัน เพื่อสร้างความใส่ใจ ความร่วมมือ และความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน โดยสามารถเลือกออมด้วยกันผ่าน “กระปุก Together” จากแอป Kept by krungsri ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คู่รักสามารถตั้งเป้าหมายการเงินด้วยกันได้ง่าย ๆ ในแอปเดียว
        

        กระปุก Together จาก Kept ที่ช่วยให้คู่รักบริหารเงินด้วยกันได้ง่ายขึ้น

         แอปพลิเคชัน Kept by krungsri ช่วยให้คู่รักสามารถตั้งเป้าหมายการออมของครอบครัว และวางแผนการเงินในระยะยาวโดยคำนึงถึงสิทธิการเงินหลังแต่งงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วยกระปุก Together ที่คู่รักสามารถตั้งเป้าหมายการเงินด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการออมเพื่อแต่งงาน ท่องเที่ยว หรือซื้อบ้านด้วยกัน กระปุก Together จะช่วยให้คุณและคู่รักมีแรงจูงใจให้ออมเงินด้วยกันอย่างต่อเนื่อง และสามารถติดตามความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายไปด้วยกันได้อย่างอุ่นใจ
        ยุคแห่งการสมรสเท่าเทียมไม่เพียงนำมาซึ่งสิทธิทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQ ได้วางแผนอนาคตทางการเงินร่วมกันอย่างมั่นคง การวางแผนการเงินที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศสภาพหรือรูปแบบความสัมพันธ์ แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การสื่อสาร และความร่วมมือระหว่างคู่รัก เมื่อรักกันแล้วยิ่งต้องวางแผนการเงินร่วมกันให้ดี เพราะความมั่นคงทางการเงินคือรากฐานสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ที่มีความสุขและยั่งยืนไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม