Highlight
ทุกครั้งที่ใกล้สิ้นปี หลายคนคงรอคอยเงินโบนัสก้อนโตเพื่อนำไปใช้จ่ายตามความต้องการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของขวัญให้ตัวเอง ไปเที่ยวพักผ่อน หรือเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต แต่ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังแบกรับภาระหนี้สินอยู่ ลองสร้างมุมมองใหม่ว่า “หากเริ่มปีใหม่แบบไร้หนี้ จะมีความสุขขนาดไหน?” เพราะถ้าบริหารเงินโบนัสปลายปีให้ดีและเกิดประโยชน์สูงสุด อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นปีใหม่ด้วยสุขภาพการเงินที่แข็งแรงขึ้น และใครที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ลองใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้ได้เลย
.jpg)
3 กลยุทธ์ใช้โบนัสปลายปีปิดหนี้ให้หมด
เรามี 3 กลยุทธ์ง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลียร์หนี้อย่างเป็นระบบ การโปะบ้าน หรือการทุบหนี้บัตรเครดิต วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจใช้เงินโบนัสปลายปีให้เกิดประโยชน์สูงสุด มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่เหมาะกับคุณ
กลยุทธ์ที่ 1 จัดลำดับหนี้ก้อนใหญ่ เพื่อเคลียร์หนี้อย่างเป็นระบบ
ก่อนจะใช้เงินโบนัสไปกับการปิดหนี้ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการรู้จักหนี้สินของตัวเองให้ชัดเจน ด้วยการจัดลำดับความสำคัญของหนี้แต่ละประเภท เพื่อช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและสามารถวางแผนการเคลียร์หนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมี 2 วิธีที่ได้รับความนิยม คือ
1. Debt Avalanche: ล้างหนี้แบบหิมะถล่ม เริ่มจากดอกเบี้ยสูงสุดก่อน
Debt Avalanche คือวิธีจัดการหนี้ที่เน้นการลดต้นทุนจากดอกเบี้ยให้ได้มากที่สุด โดยใช้หลักการจัดลำดับหนี้จากอัตราดอกเบี้ยสูงสุดลงไปต่ำสุด และนำเงินโบนัสไปชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เพื่อหยุดดอกเบี้ยทบต้นที่สร้างภาระต่อสุขภาพการเงินในระยะยาว
จุดเด่น
- เป็นวิธีที่ช่วยประหยัดดอกเบี้ยรวมได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับทุกแนวทางล้างหนี้ที่มีอยู่
- เหมาะอย่างยิ่งกับหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้ดอกเบี้ยสูงที่สร้างภาระต่อกระแสเงินสดอย่างต่อเนื่อง
- ช่วยให้ระยะเวลารวมของการปลดหนี้สั้นลง แม้ว่าจำนวนบัญชีหนี้จะยังไม่ลดลงเร็วในช่วงแรก
- ทำให้การจัดการเงินโบนัสมีความคุ้มค่าสูงสุด เพราะทุกบาทที่จ่ายไปช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านการเงินที่ดีที่สุดจากการคำนวณ ไม่ใช่ความรู้สึกประสบความสำเร็จในระยะสั้น
- ผู้ที่มีวินัยทางการเงินสูง สามารถทำตามแผนได้ต่อเนื่อง และจะไม่ถอดใจไปก่อนเพราะไม่เห็นผลเร็ว
- ผู้ที่มีหนี้ดอกเบี้ยสูงหลายรายการ และต้องการลดต้นทุนให้เร็วที่สุด
- ผู้ที่ต้องการปิดหนี้ให้เร็วจริงด้วยการบริหารจัดการระยะยาว แม้ยอดหนี้จะไม่หายไปทันทีในช่วงแรก
ขั้นตอนการจัดการหนี้
- รวบรวมหนี้ทั้งหมดและตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยของแต่ละบัญชีให้ชัดเจน
- จัดเรียงหนี้ตามลำดับดอกเบี้ย จากสูงสุดลงไปต่ำที่สุด
- ชำระขั้นต่ำให้ครบทุกบัญชี และนำเงินโบนัสไปโปะหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด
- เมื่อปิดหนี้ก้อนแรกแล้ว ให้นำยอดเงินที่เคยจ่ายหนี้ก้อนนั้นไปเพิ่มยอดการชำระหนี้ลำดับถัดไป ทำแบบนี้ซ้ำกับหนี้ที่เหลือจนปิดครบทุกก้อน
2. Snowball Method: เคลียร์หนี้ก้อนเล็กก่อนเพื่อสร้างแรงจูงใจ
Snowball Method คือวิธีจัดการหนี้ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกทางจิตใจ โดยจัดลำดับหนี้จากยอดเงินต้นน้อยที่สุดไปหายอดที่มากที่สุด และใช้เงินโบนัสไปปิดหนี้ยอดเล็กก่อน เพื่อให้เห็นความสำเร็จทันที และช่วยสร้างแรงจูงใจในการเดินหน้าจัดการหนี้ก้อนใหญ่ในขั้นต่อไป
จุดเด่น
- เป็นวิธีที่ช่วยให้มองเห็นความคืบหน้าได้รวดเร็วที่สุด เพราะหนี้ก้อนเล็กถูกปิดอย่างต่อเนื่อง
- ช่วยสร้างแรงกระตุ้นสำหรับคนที่เคยรู้สึกหมดหวังเพราะมีหนี้หลายก้อน
- ทำให้จำนวนบัญชีหนี้ลดลงรวดเร็ว ส่งผลให้ภาระทางจิตใจเบาลงทันที
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่รู้สึกว่าหนี้มีหลายก้อนจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
- ผู้ที่ต้องการแรงเสริมทางจิตใจเพื่อให้สามารถทำแผนล้างหนี้ได้ต่อเนื่อง
- ผู้ที่มีพฤติกรรมทำตามแผนได้แบบสั้น ๆ และต้องการผลลัพธ์ชัดเจนเร็ว ๆ เพื่อไม่ให้ถอดใจไปก่อน
- ผู้ที่อยากลดจำนวนบัญชีหนี้ในระยะสั้น เพื่อให้ชีวิตการเงินดูมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
ขั้นตอนการจัดการหนี้
- รวบรวมหนี้ทั้งหมดและจัดเรียงลำดับตามยอดเงินต้นจากน้อยไปมาก
- ชำระขั้นต่ำทุกบัญชีตามปกติ
- นำเงินโบนัสหรือเงินพิเศษทั้งหมดไปโปะหนี้ยอดเล็กที่สุดก่อนจนปิดบัญชีได้
- เมื่อล้างหนี้ก้อนแรกสำเร็จ ให้ทำซ้ำกับหนี้ก้อนที่เหลือจนหมด
ตารางเปรียบเทียบ Debt Avalanche vs Snowball Method
| ความแตกต่าง | Debt Avalanche | Snowball Method |
|---|---|---|
| แนวคิดหลัก | เริ่มจากหนี้ดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน | เริ่มจากหนี้ยอดเงินน้อยที่สุดก่อน |
| ผลลัพธ์ | ประหยัดดอกเบี้ยรวมมากที่สุด | เห็นผลเร็ว สร้างแรงจูงใจได้ดี |
| ข้อดีหลัก | ลดดอกเบี้ยบนต้นได้ทันที | ปิดหนี้ได้ทีละก้อนเร็ว ทำให้ไม่ท้อ |
| ข้อควรระวัง | ไม่เห็นความคืบหน้าช่วงแรก อาจท้อได้ | ดอกเบี้ยรวมอาจสูงกว่า วิธี Debt Avalanche |
| เหมาะกับใคร | คนมีวินัยสูง ต้องการผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาว | คนที่ต้องการแรงผลักดันและเห็นผลเร็ว |
| ตัวอย่างหนี้ที่เริ่มก่อน | บัตรเครดิตดอกเบี้ยสูง หรือสินเชื่อส่วนบุคคล | สินเชื่อก้อนเล็กที่ยอดหลักพัน หรือหลักหมื่นต้น ๆ |
| เป้าหมาย | ลดต้นทุนดอกเบี้ยให้มากที่สุด | ลดจำนวนบัญชีหนี้ให้เร็วที่สุด |
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีไหน สิ่งสำคัญคือการมีแผนที่ชัดเจนและยึดมั่นในแผนนั้น โดยเริ่มต้นด้วยการเขียนรายการหนี้ทั้งหมดที่มี พร้อมกับยอดคงเหลือ อัตราดอกเบี้ย และยอดผ่อนขั้นต่ำของแต่ละรายการ จากนั้นจัดลำดับตามวิธีที่คุณเลือก และใช้เงินโบนัสจ่ายหนี้ตามลำดับความสำคัญที่วางไว้ เพียงเท่านี้ภาระหนักอึ้งของคุณก็จะค่อย ๆ ผ่อนคลายลงได้ตั้งแต่เริ่มต้นปี
กลยุทธ์ที่ 2 รีไฟแนนซ์ หรือโปะบ้านบางส่วน
สำหรับหลายคนที่มีสินเชื่อบ้าน การใช้เงินโบนัสเพื่อโปะบ้านบางส่วนอาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่า เนื่องจากสินเชื่อบ้านเป็นหนี้ระยะยาวที่มียอดเงินต้นสูง ทำให้ดอกเบี้ยที่สะสมตลอดสัญญาอาจมีมูลค่าโดยรวมสูงมาก ซึ่งการโปะบ้านหมายถึงการจ่ายเงินต้นเพิ่มเติมนอกเหนือจากยอดผ่อนประจำเดือน เมื่อคุณจ่ายเงินต้นมากขึ้น เงินต้นที่เหลืออยู่ก็จะลดลง และดอกเบี้ยที่คำนวณจากเงินต้นนี้ก็จะลดลงตามไปด้วยอย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจโปะบ้าน คุณควรพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ตรวจสอบว่าสัญญากู้ยืมมีเงื่อนไขค่าปรับหากชำระก่อนกำหนดหรือไม่ หรือคุณมีเงินสดสำรองไว้ใช้จ่ายฉุกเฉินเพียงพออย่างน้อย 6 เดือนหรือไม่
อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การพิจารณารีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้าน หากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่คุณกำลังจ่ายอยู่ การรีไฟแนนซ์จะช่วยลดยอดผ่อนรายเดือนได้ เงินที่ประหยัดได้จากยอดผ่อนที่ลดลงสามารถนำไปใช้เพื่อโปะบ้านเพิ่ม ใช้เป็นกระแสเงินสด หรือใช้เคลียร์หนี้อื่น ๆ ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์อาจต้องใช้เงินก้อนเล็กน้อยสำหรับการดำเนินการ เช่น ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และค่าดำเนินการอื่น ๆ ดังนั้นคุณควรคำนวณว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้คุ้มค่ากับการได้ประหยัดดอกเบี้ยไหม เพื่อให้การรีไฟแนนซ์เป็นประโยชน์ต่อการเงินของคุณอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่ 3 ทุบหนี้บัตรเครดิตให้หมดไปเลย
หนี้บัตรเครดิตเป็นหนึ่งในประเภทหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุด และเป็นกับดักทางการเงินที่ทำให้หลายคนติดอยู่ในวงจรหนี้ได้ง่าย เนื่องจากมีดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือน แม้คุณจะจ่ายขั้นต่ำตรงเวลาทุกครั้ง แต่ยอดหนี้ก็อาจไม่ลดลงเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่ของเงินที่จ่ายไปนั้นเป็นดอกเบี้ย ไม่ใช่เงินต้นตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่าคุณมีหนี้บัตรเครดิต 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 16% ต่อปี หากคุณไม่สามารถจ่ายตามกำหนดได้ทั้งก้อน และรอบบัตรเครดิตของคุณคือ 45 วัน คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 1,972.60 บาท ในเดือนถัดไป และหากคุณยังคงจ่ายขั้นต่ำ 8-10% ไปเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่าคุณต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะปิดหนี้ได้หมด รวมถึงต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมไปหลายหมื่นบาท
การใช้เงินโบนัสปลายปีเพื่อเคลียร์หนี้บัตรเครดิตให้หมดไปเลย หรืออย่างน้อยก็ลดยอดลงให้มากที่สุดจึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดดอกเบี้ย แต่ยังช่วยเพิ่มกระแสเงินสดรายเดือนของคุณ ให้นำไปใช้จ่ายหรือออมในทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น
นอกจากนี้ เคล็ดลับสำคัญในการจัดการหนี้บัตรเครดิตคือการหยุดใช้บัตรไปก่อน แม้กระทั่งการผ่อน 0% ก็ตาม เพราะหากคุณยังคงใช้บัตรในขณะที่พยายามเคลียร์หนี้เก่า คุณก็เหมือนกับกำลังวิ่งอยู่กับที่ ลองเปลี่ยนมาใช้เงินสดเท่าที่มีในชีวิตประจำวันแทน วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกถึงมูลค่าของเงินที่ใช้ไปมากขึ้น และลดโอกาสในการใช้จ่ายเกินตัวได้
บทสรุป
การใช้เงินโบนัสเพื่อเคลียร์หนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มจากการรู้จักหนี้ของตัวเอง วางลำดับความสำคัญให้ชัด และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับสถานการณ์ของคุณที่สุด ที่สำคัญคือต้องมีวินัยและใช้ความมุ่งมั่นในการเดินตามแผน เมื่อยอดหนี้ค่อย ๆ ลดลงหรือหมดไป กระแสเงินสดของคุณก็จะเพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้เริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งต่อได้ เช่น นำไปลงทุนต่อยอดผ่านกองทุนรวมที่เปิดบัญชีกองทุนได้ง่าย ๆ และตั้งเป้าหมายได้เองกับกระปุกลงทุน Kept Invest จาก Kept by krungsriรู้แบบนี้แล้วอย่าปล่อยให้โอกาสดี ๆ ช่วงปลายปีนี้ผ่านไป เริ่มวางแผนใช้เงินโบนัสอย่างมีเป้าหมาย เพื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่อย่างมั่นใจ ไร้หนี้ และเต็มไปด้วยอิสระทางการเงินที่แท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง :
- https://www.ncb.co.th/fin-knowledge/unlock-debt-crisis-snowball-method/
- https://www.set.or.th/th/education-research/education/happymoney/debt
- https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/79-tsi-how-to-pay-off-debt-with-avalanche-technique
- https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/6-how-to-manage-your-bonus-wisely

