154 views
26 February 2025

หากพิจารณานโยบายที่เป็นไฮไลท์ของโดนัลด์

ทรัมป์

ในรอบนี้

คงจะขาดนโยบายพลังงานของอเมริกาไปเสียไม่ได้

เนื่องจากมีความแตกต่างจากสมัยโจ

ไบเดน

อย่างสิ้นเชิง

โดยทรัมป์มีสโลแกน

“Drill, Baby, Drill”

แถมยังพาสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลง Paris Accord ว่าด้วยพลังงานสีเขียวของประชาคมโลก

บทความนี้

ขอพามาพิจารณาว่าจะลงทุนในตลาดสหรัฐว่าด้วยกลุ่มพลังงานธีมไหนและตรงไหนดี

สำหรับนโยบายพลังงานในยุคทรัมป์

2.0

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าคำสั่ง

Executive Order

ของทรัมป์ที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้

ว่าด้วย

Energy Emergency

ที่ประกาศให้มีการอนุมัติการสร้างท่อส่งก๊าซและโรงผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องเข้าสู่การยื่นขอต่อทางการตามขั้นตอนทางกฎหมายซึ่งมักจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน

ยังคงเน้นพลังงานในกลุ่มฟอสซิลและนิวเคลียร์เป็นหลัก

โดยกลุ่มพลังงานทางเลือก

อาทิ

แบตเตอรี่

พลังงานแสงอาทิตย์

และพลังงานลม

อาจจะพอมองได้ว่าถูกด้อยค่าแม้จะไม่ได้ทั้งหมด

โดยหากจะให้เรียงความน่าสนใจในการลงทุนของหุ้น

ETF

หรือกองทุนในพลังงานประเภทต่าง ๆ ของสหรัฐ

ประเมินว่าความน่าสนใจเรียงจากมากไปน้อย ได้แก่

ก๊าซธรรมชาติ

,

นิวเคลียร์

,

และ

น้ำมัน

ตามลำดับ

เริ่มจากก๊าซธรรมชาติ

โดยการเติบโตของอุปสงค์ก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ

มาจาก

2

แหล่ง

ประกอบด้วย

หนึ่ง

การส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว

หรือ

LNG

ไปยังเอเชียและยุโรปที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก

และ

สอง

อุปสงค์ด้านการใช้ไฟฟ้าของ

Data Center

สำหรับการเทรนนิ่ง

Artificial Intelligence (AI)

โดยคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น

10-20%

ภายในปี

2030

แม้การยกเลิก

sanction

ต่อการส่งออกพลังงานของรัสเซียอาจจะทำให้มีคู่แข่งในเซกเมนต์นี้เพิ่มขึ้น

ทว่าคงจะไม่ได้ทำให้ตลาดในส่วนดังกล่าวอ่อนตัวลงแต่อย่างใด

ทั้งนี้

ทรัมป์ได้ยกเลิกคำสั่งของไบเดนที่สั่งระงับการสร้างท่าเรือที่ไว้เป็นฐานการส่งออก

LNG

ในสหรัฐเพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม

หลังจากที่คาดการณ์ว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มเป็น

2

เท่าในปี

2028

โดยทรัมป์ได้อนุมัติให้มีการสร้างเพิ่มไปแล้ว

เพื่อให้ใช้เป็นฐานการส่งออกในปี

2029

เป็นต้นไป

สำหรับในมุมของการลงทุน

ด้าน

Dow Jones News Services

ได้ออกรายงานว่า

แม้ธุรกิจการส่งออก

LNG

จะถือเป็นกลุ่มที่มีเม็ดเงินอยู่ค่อนข้างมหาศาล

อาทิ

หุ้น

Cheniere Energy

มีราคาเพิ่มขึ้น

1

เท่าตัวในช่วง

3

ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี

ในช่วงปีที่ผ่านมา

ถือว่ามีภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยคาดว่าในปี

2027

จะมีอุปทาน

LNG

ออกมาสู่ตลาดค่อนข้างมาก

จะเห็นได้จากหุ้น

Venture Global

ซึ่งทำธุรกิจ

LNG

ชั้นนำ

ราคาหุ้นได้ร่วงราว

30%

นับตั้งแต่

IPO

ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี

หลายฝ่ายยังมองว่าบริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติสหรัฐน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออก

LNG

ที่มีมากขึ้นในยุคของทรัมป์

อาทิ

หุ้น

Antero Resources

ที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว

50%

เมื่อปีที่แล้ว

ยังคงเทรดด้วยราคา

P/E

เพียง

13.3

เท่า

โดยเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานผลิต

LNG

ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออก

นอกจากนี้

ยังมีหุ้น

Chart Industries

ที่ผลิตอุปกรณ์ถังเก็บหัวเชื้อที่ใช้ในการผลิต

LNG

ในโรงงาน

ซึ่งได้ลงนามสัญญากับ

Exxon Mobil

ในการป้อนผลิตภัณฑ์ให้

โดยที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว

50%

เมื่อปีที่แล้ว

ยังคงเทรดด้วยราคา

P/E

เพียง

15.5

เท่า

แหล่งพลังงานที่น่าสนใจลำดับถัดมา

ได้แก่

พลังงานนิวเคลียร์

ซึ่งล่าสุดมีความคึกคักเพิ่มขึ้นจากในอดีต

หลังจาก

Big Tech

อาทิ

Microsoft

หันมาซื้อพลังงานจากโรงงานผลิตพลังงานนิวเคลียร์ในรัฐเพนน์

ซิลวาเนีย

ทั้งนี้

รัฐบาลทรัมป์ก็ดูจะชื่มชอบพลังงงานประเภทนี้อยู่ไม่น้อย

จากที่ได้กล่าวถึงใน

Executive Order

และแต่งตั้งบุคคลที่ชื่นชอบพลังานแนวนี้

อย่าง

คริส

ไรท์

ซึ่งเป็นบอร์ดของบริษัทแนวดังกล่าวอย่าง

Oklo

ขึ้นเป็นรัฐมนตรีพลังงานท่านใหม่

รวมถึงความสนใจในพลังงานนิวเคลียร์เห็นได้อย่างชัดเจนมากผ่านงานสัมมนาด้านการเงินว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์

ที่นิวยอร์ค

ที่มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆกว่า

50%

ในช่วงต้นปีนี้

สำหรับการหนุนจากภาครัฐในธุรกิจของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์

นอกจาก

Tax credit

ที่ได้รับตั้งแต่จากสมัยรัฐบาลไบเดนแล้ว

ยังต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากภาครัฐ

โดยถือเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมนี้

ที่งบประมาณที่ใช้จ่ายจริงสำหรับสร้างโรงงานใหม่หรือทำการขยายโรงงานเก่าจะสูงกว่าที่วางแผนไว้ก่อนหน้า

ทำให้นักธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้ต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาล

 

สำหรับราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐ

ถือว่ามีอัตราผลตอบแทนที่ถือว่าสูงมากในปีที่แล้ว

โดย

Oklo

ที่ถือว่าเป็น

Start-up

ซึ่งยังมิได้มีโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็น

Commercial

มีผลตอบแทนให้กับนักลงทุนถึง

300%

ในปีที่ผ่านมา

สำหรับหนึ่งในหุ้นกลุ่มนี้ที่ดูแล้วถือว่าน่าสนใจ

ได้แก่

กลุ่มที่ผลิตเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์

อาทิ

หุ้น

Cameco

ซึ่งเป็นบริษัทแคนาดาที่ถลุงแร่ยูเรเนียมในสหรัฐและแคนาดา

รวมถึงถือหุ้นในบริษัท

Westinghouse

ซึ่งออกแบบ

nuclear-reactor

โดยที่ราคาหุ้นขึ้นมาราว

13%

เมื่อปีที่แล้ว

แม้จะเทรดด้วยราคา

P/E

ถึง

42.3

เท่าในปัจจุบัน

ท้ายสุด

พลังงานน้ำมัน

แม้ว่าทรัมป์จะมีนโยบายเน้นให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานด้วยการให้อเมริกาผลิตน้ำมันในปริมาณที่สูงขึ้นไปอีก

จะไปกดดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง

ทว่าต้องไม่ลืมว่าทรัมป์ก็ไปกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ที่นำเข้าน้ำมัน

อาทิ

อินเดีย

หันมาซื้อน้ำมันของอเมริกา

รวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศของทรัมป์เองที่ต้องการผูกมิตรกับซาอุดิอาระเบีย

โดยได้ไปจัดการประชุมเจรจาการยุติสงคราม

Gaza

ระหว่างอิสราเอลกับคู่กรณีต่างๆที่ซาอุดิอาระเบีย

จึงมีความเป็นไปได้เหมือนกันที่จะสามารถบรรลุข้อตกลงด้านการผลิตน้ำมันกับประเทศยักษ์ใหญ่ในตะวันออกกลางได้ในอนาคต

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ, CFP

MacroView, macroviewblog.com