ชวนมาดาวน์โหลด Kept
รับดอกเบี้ยสูงสุด 2% ต่อปี* ถอนได้ ไม่มีเงื่อนไข!
ในปี 2025 สหรัฐฯ มีหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจเปลี่ยนทิศทางของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
นั่นก็คือหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่
36.4 ล้านล้านดอลลาร์
หรือประมาณ
120% ของ GDP
ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ มีหนี้มากกว่าขนาดเศรษฐกิจของตัวเอง
แต่ที่น่าสนใจมากกว่าคือข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่าในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีหนี้ครบกำหนด
9.2 ล้านล้านดอลลาร์
หรือ
25% ของหนี้ทั้งหมด
ซึ่งถือว่าสูงมาก และอาจเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield)
คำถามก็คือ จะทำอย่างไรกับหนี้ดังกล่าว เมื่อสหรัฐฯ มีหนี้มากกว่ารายได้ถึง 120%
สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องทำก็คือการ
“รีไฟแนนซ์”
ด้วยการออกพันธบัตรใหม่ แต่นั่นก็คือความเสี่ยง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
“แพง”
กว่าในอดีต
ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรที่ออกในปี 2020 มีอัตราผลตอบแทน 10 ปี อยู่ที่ 0.6% แต่หากพันธบัตรดังกล่าวต้องรีไฟแนนซ์ในปี 2025 อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4% ซึ่งหมายถึงต้นทุนหนี้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นมากถึง 3.8%
ด้วยปริมาณหนี้ที่สูงและภาระหนี้ที่แพงขึ้น ทำให้
Scott Bessent รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
ระบุว่า สิ่งที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการจริง ๆ ก็คือการลด Bond Yield อายุ 10 ปี เพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถ
“รีไฟแนนซ์”
หนี้จำนวนมหาศาลได้โดยมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง
การที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ เพราะการออกพันธบัตรจำนวนมากเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้ อาจทำให้ธนาคารกลางหรือรัฐบาลต่างประเทศไม่สนใจซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เหมือนเดิม
โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ เดินหน้าทำ Trade War เพื่อลดการขาดดุลการค้า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจึงอาจมีความต้องการถือเงินดอลลาร์น้อยลงไปด้วย
ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาทองคำจึงปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้
หลายสถาบันการเงิน เช่น Goldman Sachs และ Bank of America เตือนว่า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี Valuation สูงเกินไป
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม
Magnificent 7
ซึ่งมีมูลค่าพุ่งขึ้นมหาศาลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณอย่างการที่ Warren Buffett ขายหุ้นและถือเงินสดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ Howard Marks ตำนานนักลงทุน VI ก็ออกมาเตือนสัญญาณฟองสบู่ ด้าน Ray Dalio นักลงทุนที่เน้นการวิเคราะห์เศรษฐกิจก็ออกมาบอกว่าตอนนี้ Valuation หุ้นแพงเกินไป
เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นวิกฤตฟองสบู่หลายครั้งมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือการพุ่งขึ้นสูงก่อนที่ฟองสบู่จะแตก เช่น
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
หุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ได้เติบโตถึง 30 เท่า
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และล่าสุดก็มีสัญญาณที่น่าสนใจจากกรณีของ DeepSeek ที่สามารถพัฒนา AI ด้วยงบประมาณเพียง 6 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 200 ล้านบาท)
ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนา AI ที่มีประสิทธิภาพอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลอีกต่อไป ปัจจัยนี้อาจส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ต้องทบทวนและปรับลดการลงทุนด้าน AI ในอนาคต
สหรัฐฯ กำลังเผชิญความท้าทายในการจัดการหนี้สาธารณะที่ครบกำหนดในปี 2025 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 25% ของหนี้ทั้งหมด ในสถานการณ์นี้รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องลด Bond Yield ลงเพื่อควบคุมต้นทุนการรีไฟแนนซ์
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นก็มีความเสี่ยงจาก Valuation ที่สูงเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่ม Magnificent 7 ที่เติบโตถึง 30 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันไปมองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง
“กองทุนตราสารหนี้โลก”
มากขึ้น เนื่องจากสามารถซื้อพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงในปัจจุบัน และมีโอกาสทำกำไรจากราคาพันธบัตรที่อาจปรับตัวสูงขึ้น หากผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีลดลงอย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการ
อ้างอิง:Mr.Messenger Talk Podcast
คำเตือน:
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน | ผลการดำเนินงานในอดีต และผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต | ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการป้องกันความเสี่ยงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด ในช่วงเวลาวันทำการตั้งแต่ 09:00-17:00 น. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 026 5100 และทาง LINE @FinnomenaPort | สำหรับผู้ลงทุนในความดูแลของ Kept by krungsri ติดต่อทีม Kept help center ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02 296 6299